Michael Dell ผู้ที่เห็นช่องว่างทางธุรกิจของ IBM และ Apple ตั้งแต่อายุ 19 ปี /โดย ลงทุนแมน หากพูดถึงแบรนด์ “Dell” หลายคนก็อาจจะรู้จักในฐานะแบรนด์คอมพิวเตอร์ชื่อดัง แต่จริง ๆ แล้ว ในปัจจุบัน รายได้ของ Dell Technologies มาจากการขายคอมพิวเตอร์เพียง 50% และรู้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง Dell Technologies เคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพราะบริษัทสามารถโกยรายได้ราว 560 ล้านบาท ได้ในปีแรกของการก่อตั้งบริษัท และใช้เวลาอีกเพียง 5 ปี รายได้ของบริษัทก็ได้เติบโตจนทะลุ 10,000 ล้านบาท อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ จุดเริ่มต้นของบริษัทแห่งนี้ ไม่ได้เริ่มมาจากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมล้ำยุคเหมือนแบรนด์เทคโนโลยีอื่น ๆ แต่กลับเกิดขึ้นจากการที่ Michael Dell ผู้ก่อตั้งบริษัท เห็นโอกาสการทำเงินจากช่องโหว่ ซึ่งช่องโหว่ที่ว่านั้น เป็นช่องว่างทางธุรกิจ ที่ IBM และ Apple ได้สร้างเอาไว้ และก็ได้ทำให้ Michael Dell ที่มองเห็นโอกาส ได้รุกเข้าไป ตั้งแต่ตอนที่เขามีอายุได้เพียง 19 ปี ในบทความ เปิดประวัติ Michael Dell บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการคอมพิวเตอร์ ชายผู้ที่ทำให้ DELL เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เรื่องนี้ เราก็จะพาทุก ๆ คนไปรู้จักกับเขากันครับ
Michael Dell คือใคร
- Michael Dell เกิดในปี 1965 ที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส โดยมีแม่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และพ่อเป็นทันตแพทย์ ซึ่งก็อาจจะกล่าวได้ว่าชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้ลำบากหรือขัดสนแต่อย่างใด และครอบครัวของเขาเองก็อยากให้ลูกชายเข้าเรียนในสายอาชีพแพทย์อย่างเช่นพ่อของเขาตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่เขามีคือเลือดของนักธุรกิจที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ซึ่งก็ได้คอยผลักดันให้เขาเริ่มทดลองและมองหาโอกาสอยู่เสมอ
จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของ Michael Dell
- ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปี Dell ได้ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารจีนใกล้บ้าน เพื่อที่จะนำเงินมาซื้อและเก็บสะสมแสตมป์ไว้เป็นคอลเลกชันส่วนตัวของเขา และจากการได้ตามอ่านวารสารเกี่ยวกับแสตมป์ เขาก็สังเกตว่ามูลค่าของแสตมป์บางประเภท มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่นักสะสม ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากการสะสมเพื่อความชอบส่วนตัว มาเป็นโอกาสทางธุรกิจของตัวเอง โดยสิ่งที่เขามองเห็นคือ แสตมป์ที่เหล่านักสะสมซื้อขายกันในตลาด ต้องผ่านตัวกลางหรือผู้จัดประมูล ซึ่งผู้ซื้อกับผู้ขายก็มักจะต้องเสียค่านายหน้า เขาจึงคิดได้ว่าหากเขาสามารถตัดตัวกลางออกไปได้ เขาก็จะทำกำไรได้มากขึ้น พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงได้จัดทำแคตตาล็อกที่รวบรวมแสตมป์ที่เขาสะสมไว้จำนวน 12 หน้า ซึ่งก็มีทั้งแสตมป์ของเขาเอง ของเพื่อนสนิท และของเพื่อนบ้าน จากนั้นจึงลงโฆษณาในวารสารนักสะสมแสตมป์ นอกจากนั้น เขายังได้รวบรวมรายชื่อและข้อมูลของนักสะสมที่เข้าร่วมในงานประมูลแสตมป์ จากนั้นจึงส่งแคตตาล็อกของเขาไปให้ตามรายชื่อที่มี ผลปรากฏว่ามีนักสะสมแสตมป์ติดต่อมาที่เขาเป็นจำนวนมาก ทำให้ Dell มีรายได้จากการขายแสตมป์ คำนวณเป็นมูลค่าในปัจจุบัน สูงถึง 587,000 บาท
จุดเริ่มต้นในธุรกิจคอมพิวเตอร์ของ Michael Dell
- หลังจากสำเร็จจากการทำธุรกิจแสตมป์ เขาก็ได้ใช้เงินจำนวนหนึ่ง ไปกับการซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ของ Apple มา 1 เครื่อง โดยที่เขาก็ได้หมกมุ่นอยู่กับการชำแหละเครื่องเพื่อศึกษาส่วนประกอบภายใน จากนั้นจึงประกอบกลับใหม่ตามเดิม ซึ่งจริง ๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ Dell เพราะก่อนที่จะมาแยกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เขาก็ได้ทดลองทำกับวิทยุ โทรศัพท์ หรือแม้แต่โทรทัศน์ เพียงเพราะว่าเขาต้องการรู้และเข้าใจการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้น ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้รับงานเป็นตัวแทนขายโปรแกรมสมัครสมาชิกของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยทางสำนักพิมพ์ได้ให้รายชื่อลูกค้าและเบอร์ติดต่อมาจำนวนหนึ่งให้ Dell ไว้โทรเพื่อเสนอขายสมาชิก เมื่อเริ่มโทรติดต่อไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็สังเกตว่าลูกค้าที่ยอมสมัครสมาชิกกับเขา ส่วนใหญ่แล้วเป็นคู่แต่งงานใหม่หรือไม่ก็ครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายบ้านเข้ามาอยู่ เมื่อรู้อย่างนี้ Dell ก็ได้จ้างวานเพื่อนที่โรงเรียน 2 คนให้มาช่วยหารายชื่อของคู่สมรสใหม่และรายชื่อของผู้ที่ยื่นขอจดจำนองบ้านในพื้นที่ จากนั้นจึงใช้ข้อมูลดังกล่าวในการติดต่อและปิดการขาย
Michael Dell ผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการไอที
- ต่อมาเมื่อเขาเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในปีแรก Dell ก็ได้ใช้เวลาว่างไปกับการศึกษาการประกอบคอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง ซึ่งเขาค้นพบว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ ใช้ส่วนประกอบ ที่แต่ละชิ้นมีการผลิตเป็นมาตรฐานและสามารถปรับเปลี่ยน หรือดัดแปลงได้ หลังจากนั้นไม่นาน Dell ก็ได้เริ่มธุรกิจของเขาด้วยการซื้อคอมพิวเตอร์เก่าที่ตกรุ่นจากร้านค้าปลีก และนำมาอัพเกรดด้วยส่วนประกอบใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพไม่แพ้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่วางจำหน่ายในช่วงเวลานั้น และเริ่มขายให้กับลูกค้าภายในมหาวิทยาลัย ผลตอบรับกับธุรกิจประกอบคอมพิวเตอร์ของเขาดีเกินคาด และจากการได้คลุกคลีกับร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และผู้ผลิตชิ้นส่วน ทำให้ Dell ค้นพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของ IBM ที่วางขายในท้องตลาด มีต้นทุนส่วนประกอบ 55,700 บาท แต่ IBM ได้ขายต่อให้กับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในราคา 186,000 บาท ในขณะที่ ร้านค้าก็ได้เอาไปขายต่อให้กับลูกค้าที่ราคา 277,000 บาท จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นราคาขายส่งหรือขายปลีก ก็แพงเป็นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับต้นทุนส่วนประกอบ ซึ่ง Dell ก็ได้มองเรื่องดังกล่าวเป็นโอกาส
- เขาจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อก่อตั้งบริษัทชื่อ PC’s Limited เพื่อทำธุรกิจผลิตคอมพิวเตอร์ ทันที และตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัท คู่แข่งที่ Dell มองเห็น ไม่ใช่ร้านขายคอมพิวเตอร์ในละแวกใกล้เคียง แต่กลับเป็น Apple และ IBM ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ระดับโลก ที่แน่นอนว่าพนักงานของทั้ง 2 องค์กร ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อของ PC’s Limited มาก่อน โดยโมเดลธุรกิจของ Dell คือการประกอบคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ IBM จากนั้นจึงขายให้กับลูกค้าในราคาที่ถูกกว่าโดยไม่ผ่านร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเขาก็ได้อาศัยการติดต่อลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์และโทรสาร รวมถึงการลงโฆษณาบนนิตยสารคอมพิวเตอร์และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ซึ่งโมเดลธุรกิจนี้ก็ทำให้ PC’s Limited มียอดขายในปีแรกกว่า 560 ล้านบาท และในปีถัดมา PC’s Limited ก็ได้เริ่มวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบและพัฒนาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งมีราคาถูกกว่า Macintosh จาก Apple ที่เปิดตัวในปีเดียวกัน แต่วางจำหน่ายในราคาสูงกว่าถึง 3 เท่า ส่งผลให้ในปีที่ 2 ของ PC’s Limited ก็สามารถทำยอดขายได้กว่า 3,450 ล้านบาท
สรุป
ในปี 1996 Dell Computer ก็ได้เพิ่มช่องทางการขายรูปแบบใหม่ ด้วยการวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ส่งผลให้เพียง 6 เดือนแรก ยอดขายออนไลน์ของ Dell Computer ก็สูงถึง 59 ล้านบาทต่อวัน และเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,150 ล้านบาทต่อวันในปี 2000 โดยมีรายได้รวมทั้งปีกว่า 1.36 ล้านล้านบาท และจากบริษัทโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก มาถึงตรงนี้ Dell Computer กลายเป็นบริษัทที่มียอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ในปี 2001 โดยบริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Dell Inc. ในปี 2003 บทความ เปิดประวัติ Michael Dell บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการคอมพิวเตอร์ ชายผู้ที่ทำให้ DELL เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เรื่องนี้ เมื่อ Dell Inc. เติบโตถึงขีดสุด Michael Dell ก็ได้ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของบริษัทในปี 2004 เพื่อไปทุ่มเทให้กับมูลนิธิการกุศลของตัวเอง แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการของ Dell Inc.