นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ สหรัฐอเมริกาได้ทำการก้าวข้ามขีดจำกัดความสามารถของตนเองในยุคที่ไอทียังไม่เฟื่องฟูโดยส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จในภารกิจอะพอลโล 11 เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์สหรัฐฯและประวัติศาสตร์โลกเป็นอย่างมากสำหรับใครยังไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรวันนี้เราจะเล่าย้อนความสำเร็จของประวัติศาสตร์หน้านี้กัน
ก้าวสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ
Five.. Four.. Three.. Two.. One.. lift-off
จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อดำเนินมาถึงวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 นาซ่า (NASA) ได้ทำการส่งยานอะพอลโล 11 พร้อมด้วยนักบินอวกาศอีก 3 คน ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากแหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มุ่งหน้าสู่ภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ในห้วงอวกาศ มนุษย์ทั้ง 3 กำลังจะไปเยือนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก และแล้วการทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็เป็นไปได้ด้วยดี มนุษย์ตัวน้อยได้ไปถึงจุดหมายที่ซึ่งไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน การเดินทางในครั้งนี้คือช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำในทุก ๆ เสี้ยววินาที
และแล้วประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญก็กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อยานอะพอลโล 11 พานักบินอวกาศลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์สำเร็จ ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1969 นับเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติที่อยู่บนพื้นโลกได้ขึ้นเหยียบบนดวงจันทร์ หลังออกเดินทางจากโลกไปได้เกือบ 110 ชั่วโมง นักบินอวกาศ นีล อาร์มสตรอง ได้เป็นมนุษย์คนแรกที่ก้าวเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์และตามมาด้วยเพื่อนร่วมทีมของเขาคือ บัซซ์ อัลดริน มนุษย์คนที่สองที่ได้ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ในอีก 20 นาทีต่อมาโทรทัศน์ทั่วโลกต่างร่วมกันเผยแพร่วินาทีสำคัญในครั้งนี้ ผู้คนนับ 650 ล้านคนสามารถจดจถ้อยคำของอาร์มสตรองที่เขากล่าวในขณะนั้นว่า “นั่นคือก้าวเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” ทำให้ผู้คนหลาย ๆ คนได้ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการสำรวจอวกาศภายในอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึง นีล อาร์มสตรองและบัซซ์ อัลดรินได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเก็บตัวอย่างหินบนพื้นผิวดวงจัทร์ ถ่ายภาพ และจัดเตรียมการทดลองทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งและออกเดินสำรวจบริเวณรอบจุดที่ลงจอดของยานลูนาร์โมดูล ต่อมานักบินอวกาศทั้งสองได้กลับไปที่ยานส่วนบัญชาการ โดยใช้ยานลูนาร์โมดูล กลับไปเชื่อมต่อกันได้สำเร็จ หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินทางกลับสู่โลกมุ่งหน้าเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและพุ่งตัวลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม อย่างปลอดภัย
ความสำเร็จในครั้งนี้เองรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แสดงถึงพลังอำนาจและแสนยานุภาพที่ประเทศตัวเองมีอยู่ให้ออกสู่สายตาชาวโลกได้รับรู้ ทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจของชาวอเมริกัน หลังผ่านช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายปั่นป่วนที่มีทั้งเหตุการ์ณลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี เหตุปะทะจลาจลจากการเหยียดผิวตามเมืองใหญ่ ๆ หลายแห่ง และความขัดแย้งภายในที่ได้รับผลกระทบมาจากสงครามเวียดนาม
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯต้องการที่จะไปดวงจันทร์ ?
แล้วอะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯต้องการที่จะไปดวงจันทร์ ? ในปี 1957 สหภาพโซเวียตได้ปล่อยดาวเทียมสปุตนิก 1 ขึ้นสู่วงโคจรโลก ซึ่งทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ประเทศมหาอำนาจของโลกทั้งสองแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นในด้านอวกาศเลยก็ว่าได้ ในปี 1961 จอห์น เอฟ. เคนเนดี ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในตอนนั้นเองชาวอเมริกันจำนวนมากเชื่อว่าประเทศของตนกำลังพ่ายแพ้ให้กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดในยุคสงครามเย็น เพราะในขณะนั้นสหภาพโซเวียตมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เหนือล้ำกว่ามาก เพราะได้สามารถส่งคนขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้เป็นครั้งแรกของโลกในปีเดียวกันนั้นเอง ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯจึงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ให้ได้เป็นประเทศแรกและประธานาธิบดีเคนเนดีได้ประกาศให้ชาวอเมริกันทราบโดยทั่วกันว่า “เราเลือกไปดวงจันทร์ “ ผ่านการกล่าวสุนทรพจน์ในปี 1962 ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีมาจนถึงทุกวันนี้
“โครงการอะพอลโล” องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา ได้ทุ่มเททรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาล โดยระดมกำลังบุคลากรเข้าทำงานในโครงการนี้มากถึง 400,000 คน คิดเป็นงบประมาณที่ใช้ไปมากถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 772,500 ล้านบาท ตามมูลค่าของเงินตราในขณะนั้น
คนเดียวที่ไม่ได้ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ในภารกิจอพอลโล 11
ไมเคิล คอลลินส์ คือคนเดียวที่ไม่ได้ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ในภารกิจอพอลโล 11 ในขณะที่นักบินอวกาศทั้ง 2 คน นีล อาร์มสตรองและบัซซ์ อัลดรินลงไปเดินบนดวงจันทร์และได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์จนทำให้เป็นที่รู้จักกันมาถึงทุกวันนี้แต่ ไมเคิล คอลลินส์ กลับเป็นคนเดียวที่ต้องอยู่บนยานและไม่ได้รับความสนใจเท่ากับอีก 2 คนจนถูกตั้งฉายาว่า “นักบินผู้ถูกลืม” แต่ไมเคิล คอลลินส์กลับไม่คิดเช่นนั้น เขากลับรู้สึกว่าภารกิจของเขานั้นสำคัญยิ่งกว่าการได้ลงไปเหยียบบนดวงจันทร์ เพราะการที่เขาสแตนด์บายอยู่บนยานนั้นจะเป็นการพาทุกคนกลับสู่บ้านอย่างปลอดภัย ไมเคิลรู้ดีว่าภารกิจอพอลโล 11 จำเป็นต้องใช้คนจำนวน 3 คน และเขาเองต้องอยู่รับหน้าที่ที่สำคัญมาก ๆ ในการรับผิดชอบต่อชีวิตของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งทำให้เขากังวลกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นแผนรับมือว่าต้องทำอย่างไรในกรณีที่การลงจอดไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว รวมทั้งวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะเป็นคนบังคับยานโคลัมเบียลงไปรับเพื่อนอีก 2 คนได้อย่างไรหากยานอีเกิลบินกลับขึ้นมาไม่ได้และยังแอบกลัวมาตลอดเขาว่าจะต้องทิ้งเพื่อน ๆ ทั้ง 2 คนไว้บนดวงจันทร์แล้วกลับโลกมาเพียงผู้เดียวหากการเดินทางในครั้งนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแต่โชคดีที่ภารกิจในครั้งนี้ประสบความสำเร็จและทั้ง 3 คนจึงเดินทางกลับถึงโลกได้อย่างปลอดภัย
“ก้าวเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” คือถ้อยคำของอาร์มสตรอง เวลาผ่านล่วงเลยไป ถึง 52 ปี หากคุณลองย้อนกมองลับไปจะเห็นความเปลี่ยนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งธรรมชาติ บ้านเมือง หรือเทคโนโลยี นี่นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวกระโดดอย่างแท้จริง ติดตามบทความอื่นๆที่น่าใจได้ที่ peoplelikeuscollective
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> สล็อตเว็บตรง