สวัสดีครับเพื่อน ๆ สด ๆ ร้อน ๆ กันเลยกับเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่แมนเชสเตอร์ซิตี้พึ่งคว้าแชมป์ยูฟ่าสมัยแรกของสโมสรได้ไปสำเร็จ แถมยังเป็นการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ของ เป็ป ซึ่งเป็นกุนซือคนที่ 2 ต่อจาก เซอร์ อเล็ก เฟอร์กุสัน จึงทำให้นาทีนี้ ต้องทำบทความ เปิดประวัติ Pep Guardiola ผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดแห่งยุคสมัย กุนซือที่พาความยิ่งใหญ่มาให้กับ Man City เรื่องนี้ให้กับเขาจริง ๆ ต้องบอกว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนในวงการฟุตบอลถูกพูดถึงมากไปกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (Joseph ‘Pep’ Guardiola) ผู้จัดการทีมชาวสเปนของ แมนเชสเตอร์ซิตี้ อีกแล้ว กับการสร้างสถิติและปรากฏการณ์มากมายหลายอย่างให้กับพรีเมียร์ลีก ที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ของตัวเองกับแมนซิตี้ได้สำเร็จ ซึ่งก็นับเป็นสมัยที่ 7 ของสโมสรแล้ว แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้ไม่ว่ากุนซือคนนี้จะไปที่ไหน ทีม ๆ นั้น ก็ต้องยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จ ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปรับชมเหตุผลนั้นกันครับ
ประวัติการเป็นนักเตะของ Pep Guardiola
- Pep Guardiola; เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1971 ที่เมืองซันต์เปดอร์ บาร์เซโลนา แคว้นกาตาลุญญา; มีชื่อเต็มว่า โจเซป กวาร์ดิโอลา อี ซาลา (Josep Guardiola i Sala) อดีตตำนานยอดมิดฟิลด์ แดนกลางตัวรับ ของบาร์เซโรน่า ที่มีสไตล์การเล่นที่มาจากอนาคต ด้วยสไตล์การเล่นที่ใช้เทคนิคอันแพรวพราว การชิ่งเหลี่ยม ชิงไหวพริบ ในการเล่นเกมส์รับ ท่ามกลางผู้เล่นตัวรับสายพละกำลังที่เน้นการเข้าปะทะหนัก ๆ ในช่วงเวลานั้น เป๊ป คือคนที่แตกต่างออกไป หากเทียบกับผู้เล่นในตำแหน่งเดียวกัน แถมตัวเขาเองนั้นยังสามารถเปลี่ยนเกมรับเป็นเกมส์รุกได้ทันทีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่สาเหตุที่เขาไม่โด่งดังในฐานะนักเตะนั้นก็เพราะ ผู้คนในยุคนั้นให้ความสนใจกับผู้เล่นตัวรับที่เข้าปะทะหนัก ๆ อย่างเช่น รอย คีน กับ แพททริค วิเอล่า เสียมากกว่า ซึ่งเขามีส่วนร่วมคว้าทั้งหมด 15 แชมป์, รวมไปถึงแชมป์ลาลีก้าสเปน 6 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย ก่อนที่จะย้ายออกจากสโมสรและเข้าร่วมกับทีมเบรสเซียในปี 2001
ประวัติการเป็นกุนซือ ของ Pep Guardiola
- เขาย้ายกลับมาสู่บาร์เซโลน่าในปี 2007 โดยเข้ามาในฐานะโค้ชบาร์เซโลน่าทีม B, และจากความสำเร็จแรกของเขาในฐานะผู้จัดการทีม เขาจึงถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เฮดโค้ชในปี 2008 เขาพายอดทีมจากคาตาลันประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยคว้าไปทั้งหมด 13 ถ้วยแชมป์ใน 4 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจพักงาน 1 ปี และ ย้ายไปที่ บาร์เยิน มิวนิค ซึ่งการย้ายมาสู่บาเยิร์น มิวนิค นำมาสู่ความสำเร็จอีกครั้ง เขาพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า 3 สมัยใน 3 ปีที่ถิ่นอาลิอันซ์ อารีน่า ก่อนที่ผู้จัดการทีมชาวคาตาตันย้ายเข้ามาสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เมื่อปี 2016, ความสำเร็จแรกของเขาคือแชมป์คาราบาว คัพในปี 2018, และหลังจากนั้นพาทีมทำลายสถิติพรีเมียร์ลีก โดยการเป็นทีมแรกที่คว้าคะ 100 คะแนนในฤดูกาลเดียว
การสร้างรูปแบบการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่
- ฤดูกาลแรกของ เป๊ป กับทีมแมนฯซิตี้ เขาเปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีมเรือใบสีฟ้า พาทีมจบอันดับ 3 ไม่ได้แชมป์อะไรเลย ทั้งที่ใช้เงินซื้อตัวผู้เล่นไปหลายล้านปอนด์ เป็ป ต้องเจอกับเสียงวิพากย์วิจารณ์มากมาย แต่เขายืนยันว่าต้องใช้เวลาในการสร้างทีมใหม่ เป๊ป บังคับให้นักเตะในทีมทุกคนต่อบอลจากผู้รักษาประตูขึ้นมา แทนที่จะใช้วิธีเตะสาดขึ้นมาวัดดวงให้ผู้เล่นตัวใหญ่แย่งบอลกันกลางอากาศเหมือนทุกทีม นักเตะคนไหนที่ไม่สามารถปรับตัวให้เขากับสไตล์การส่งบอลจากหน้าเขตโทษฝั่งตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะโละออกจากทีมทันที ขณะเดียวกัน เป็ป ก็เห็นต่างจากผู้จัดการทีมคนอื่น เขาชอบกองหน้าตัวเล็ก มากกว่ากองหน้าตัวใหญ่ที่หลายๆทีมเห็นว่าจำเป็นต้องมีเพื่อความได้เปรียบ และ เป็ป ก็พิสูจน์ให้หลายคนเห็นรูปร่างไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในสนามฟุตบอล โดยเขาสามารถปั้น กุน อเกวโร่ ที่มีส่วนสูง 173 เซนติเมตร ให้กลายเป็นดาลซัลโวพรีเมียร์ลีก กับ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลแมนฯซิตี้ ได้สำเร็จใครจะเชื่อว่า ฟุตบอลที่เน้นการต่อบอลสั้นสไตล์ เป็ป ที่มีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดและเสียประตูหากถูกคู่แข่งหากถูกแย่ง จะได้รับความนิยมขึ้นในโลกฟุตบอล หลังฤดูกาลมหัศจรรย์ของทีมเรือใบสีฟ้าที่นำจ่าฝูงแบบม้วนเดียวจบ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างง่ายดายในฤดูกาลที่สองที่เขาคุมทีม หลายทีมใหญ่ในโลกเปลี่ยนมาเอาอย่าง แมนฯซิตี้ ด้วยการฝึกให้นักเตะเกมรับรวมถึงผู้รักษาประตูต่อบอล ขึ้นเกมจากแดนหลังมาสร้างเกมบุก แทนที่การเตะบอลโด่งขึ้นมาแล้วลุ้นว่าจะกองหน้าหรือตำแหน่งอื่นๆจะเก็บบอลไหม บอลสั้นสมัยใหม่ของเขาสามารถสร้างโอกาสขึ้นไปทำประตูได้มากกว่า บอลยาวสมัยโบราณ และแท็กติกนี้มีส่วนที่ทำให้ เป็ป เป็นผู้จัดการทีมที่มีเปอร์เซนต์ชนะเฉลี่ยเกิน 80 % ในแต่ละแมตช์
สถิติของ Pep Guardiola
- ทีมแรกในรอบ 10 ปีที่หลังจาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี 2008–09 ที่ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
- ทีมแรกที่ทำคะแนนใน 1 ฤดูกาลถึง 100 แต้ม (ฤดูกาล 2017-2018) รวมกัน 2 ฤดูกาลถึง 198 คะแนน
- ชนะติดต่อกันมากที่สุด 18 เกม (ฤดูกาล 2017-2018)
- ชนะมากที่สุดในฤดูกาล 32 เกม (ฤดูกาล 2017-2018)
- ชนะเกมเยือนได้มากที่สุดในฤดูกาล 16 เกม (ฤดูกาล 2017-2018)
- ยิงประตูมากที่สุดในฤดูกาลเดียว 106 ประตู (ฤดูกาล 2017-2018)
- จ่ายบอลมากที่สุด 902 ครั้ง ในเกมกับ เชลซี เดือนมีนาคม ปี 2018
- ทิ้งห่างจากอันดับสองมากที่สุด 19 คะแนน (ฤดูกาล 2017-2018)
- นำคู่แข่งในระหว่างเกม ซึ่งทำไปทั้งหมด 2088 นาที ตลอดฤดูกาล 2018-2019 ทำลายสถิติเดิมของ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ยุค มานูเอล เปเยกรินี่ ในฤดูกาล 2013-14 ที่ทำได้ 1,909 นาที
- กุนซือคนที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกที่พาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้
- นอกจากนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังกำลังเดินหน้าทำสถิติใหม่อย่างการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ถ้วยในเกาะอังกฤษเป็นทีมแรก หลังทำดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการคว้าแชมป์คาราบาวคัพในบอลถ้วยกับพรีเมียร์ชีพในบอลลีกไปแล้ว ในวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม นี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด แมนฯซิตี้ น่าจะเอาชนะ วัตฟอร์ด คว้าแชมป์เอฟเอคัพ ถ้วยฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ พร้อมจบฤดูกาลด้วยสามถ้วยในมือ รวมถึงการขึ้นเป็นผู้จัดการที่ได้แชมป์มากที่สุดอันดับ 5 โลกตลอดกาล กว่า 27 โทรฟี่ เป็นรองเพียงแค่เหล่า 4 กุนซือในตำนานของโลกอย่าง ออตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ (28 โทรฟี่) , วาเลรี่ โลบานอฟสกี้ (30 โทรฟี่) , มีร์เซีย ลูเชสคู ( 32 โทรฟี่ ) และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ( 49 โทรฟี่) เท่านั้น ซึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในวัยเพียง 48 ปี มีโอกาสที่จะลุ้นที่จะไต่อันดับไปมากกว่านี้ในอนาคต
สรุป
ก่อนจะจากกันไป บทความ เปิดประวัติ Pep Guardiola ผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดแห่งยุคสมัย กุนซือที่พาความยิ่งใหญ่มาให้กับ Man City เรื่องนี้ อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจะทำให้เขาประสบความสำเร็จ ได้ขนาดนี้เลย ก็คือ ความเจ้าระเบียบและความละเอียดของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขึ้นชื่อลือชามาก เขาไม่ได้เน้นการคุมทีมฟุตบอลเฉพาะการจัดตัวผู้เล่นหรือวางแผน แต่ดูแลจัดการไปถึงภาพรวมต่างๆของทีม รวมถึงกิจวัตรประจำวันของนักเตะ ไม่ว่าจะเป็น การฝึกซ้อม การกินอาหาร การใช้มือถือ การเล่นโซเชี่ยลมีเดีย ในแคมป์ฝึกซ้อม ที่หากมีใครแหกกฏ เขาก็พร้อมที่จะลงโทษ ตั้งแต่ ตักเตือน ดร็อปเป็นตัวสำรอง ปรับเงิน ไปจนถึงขายพ้นออกจากทีม