“Wise men say Only fools rush in But I can’t help falling in love with you” ท่อนร้องจากบทเพลงอมตะของศิลปินที่โด่งดังมากในยุค 60 และยังเป็นดั่งราชาของดนตรีร็อคแอนด์โรลที่แม้ว่าเค้าจะจากไป 45 ปีแล้วก็ตาม แต่บทเพลงของเอลวิสก็ยังถูกนำมาเล่นซ้ำในโอกาสสำคัญต่างๆ และเป็นที่พูดถึงอย่างเสมอมา ในบทความ Elvis Presley ราชาร็อคแอนด์โรลผู้ล่วงลับ ที่กว่าจะมีวันนี้ได้นั้นไม่ใช่เพียงแค่โชคชะตา เรื่องนี้ เราก็จะนำเรื่องราวของเอลวิส เพรสลีย์ ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อในหลากหลายแง่มุมไม่ว่าจะเป็นนักร้องร็อคแอนด์โรลที่มีท่าเต้นอันเป็นเอกลักษณ์ หรือเสียงร้องที่สามารถร้องได้หลากหลายแนวเพลง มาฝากเพื่อน ๆ กันครับ เพราะมีน้อยสื่อมากที่เสนอในด้านชีวิตของตัวเขา
ประวัติ Elvis Presley
- เอลวิส เพรสลีย์ มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย์ เป็นนักร้องและนักแสดงชาวอเมริกัน เขาถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เขามักได้รู้จักในฉายา “ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เดอะคิง” เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2478 ที่ทูเพอโล เมือง มิสซิสซิปปี ประเทศอเมริกา โดยเป็นลูกของ ลิซา มารี เพรสลีย์ ผู้เป็นพ่อ และ พริสซิลลา เพรสลีย์ ผู้เป็นแม่
ชีวิตในวัยเด็กของ Elvis Presley
- จากเด็กน้อยที่เติบโตในรัฐมิสซิสซิปปี แม้ครอบครัวจะยากจนแต่ก็อบอุ่นเพราะได้รับความรักอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะแม่ที่ดูแลและตามใจเอลวิสมากเพราะเขาคือลูกคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่ หลังจากที่ลูกชายฝาแฝดอีกคนหนึ่งเสียชีวิตไป ต่อมาพ่อถูกตัดสินให้จำคุก 3 ปีเนื่องจากปลอมแปลงเช็ค ซึ่งเช็คนั้นถูกทำขึ้นเพื่อซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ถูกขังเพียง 6 เดือนเท่านั้น ส่วนเอลวิสและแม่ก็ถูกทิ้งให้อยู่อย่างตามมีตามเกิด โดยที่แม่ทำงานหนักมากแต่ก็เพื่อให้ลูกชายของเธอเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเอลวิสถึงรักแม่มาก ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เอลวิสยังเป็นเด็ก ในหมู่บ้านแถบชนบท ความสุขไม่กี่อย่างของผู้คนมีเพียงดนตรีและโบสถ์ ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเด็กน้อย ที่จะก้าวไปเป็นศิลปินในเวลาต่อมา เพราะจังหวะเพลงและการเล่นดนตรีจากการนักดนตรีในโบสถ์ก็เป็นรากฐานให้ร็อคแอนด์โรลในเวลาต่อมา ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้ต่อต้านให้กับความรักที่มีเสียงดนตรีของเอลวิส รวมถึงการเป็นคนขาวที่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงดนตรีของคนดำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติหากเกิดในช่วงเวลานั้นที่กระแสแบ่งแยกสีผิวยังคงคุกรุ่นอยู่ แต่เอลวิสทำไปด้วยเหตุผลเดียวคือ เขาสนุกไปกับมัน
- เมื่ออายุ 13 ปี เด็กหนุ่มจากมิสซิสซิปปี ได้ย้ายเข้าสู่เมมฟิส เมืองที่มีความหลากหลายในวัฒนธรรมมากแห่งหนึ่งในประเทศโดยเฉพาะย่านบันเทิงที่เล่นดนตรีดีดีกันอย่างคึกคัก ซึ่งย่านที่มีชื่อเสียงทีสุดก็คือ ถนน Beale ที่ถูกขนานนามว่า “ สวรรค์ของคนดำ ” เนื่องจากเป็นถนนแห่งประวัติศาสตร์ของดนตรีบลูส์ ที่มักจะมีศิลปินระดับตำนานของโลกมาทำการแสดงที่นี่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Louis Armstrong, Muddy Waters, Albert King, Memphis Minnie, B. B. King, Rufus Thomas, Rosco Gordon ที่แห่งนี้มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมให้เอลวิสได้เข้าถึงดนตรีมากขึ้น ท่าทางในการแสดงก็ได้แรงบันดาลใจจากนักดนตรีที่เล่นในย่านถนน Beale รวมถึงการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ก็ทำให้ได้รับอิทธิพลการร้องดนตรีกอสเปล จากนักดนตรีในโบสถ์ และสไตล์การใส่สูทพอดีตัว ผมดำเรียบ ไว้จอน ก็ได้รับอิทธิพลมาจากนักดนตรีคริสเตียน ณ ขณะนั้น อีกจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต คือตอนที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมปลายฮิวม์ส ที่มีการจัดการแสดงเล็กๆทุกปี เอลวิสได้ร้องเพลงที่ชื่อ Old Shep ของศิลปินที่ชื่อ Red Foley ที่เกี่ยวกับหมาแก่ของเขาที่เพิ่งตายไป และการแสดงครั้งนั้นเองคือการพิสูจน์ตัวเองครั้งแรกในชีวิต แม้เป็นก้าวเล็กๆแต่ก็สำคัญสำหรับเด็กหนุ่มในวันนั้น
เส้นทางก่อนจะเป็นราชานั้นไม่ได้ราบรื่น
- แต่ทางเดินก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะเขามักถูกปฏิเสธด้วยคำว่า “นายร้องเพลงไม่ได้” จากนั้นจึงไปทำงานเป็นคนขับรถบรรทุก เพื่อจะหาเงินเลี้ยงดูแม่ แม้จะล้มเหลวหลายครั้งแต่เอลวิสเองก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะเป็นศิลปินและยังคงพยายามทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อแซม ฟิลลิปส์ แห่งค่ายซัน เรคคอร์ด ที่มีความฝันที่จะต้องการนำดนตรีคนดำเข้าสู่กระแสหลักของคนขาวให้ได้ ด้วยเหตุผลอันดีและมิใช่เพียงเพื่อการค้า แซมต้องการหาคนขาวที่สามารถร้องเพลงของคนดำได้ เมื่อมีข่าวว่า คุณอาจโชคดีหากไปที่ซัน เรคคอร์ด เอลวิสจึงไปที่นั่นเพื่อทำทุกอย่างที่คิดว่าจะได้อัดแผ่นเสียง แต่ก็ไม่ได้ทำให้แซมประทับใจมากนัก หลังจากนั้น สก็อตตี้ มัวร์และบิล แบล็ค สองนักดนตรีที่ทำงานละแวกนั้นก็ได้เข้ามาที่ค่าย แซมบอกให้ทั้งคู่ไปซ้อมดนตรี การอัดเพลงไม่เป็นที่ประทับใจเท่าที่ควร และวินาที่ที่ทุกคนกำลังจะถอดใจ เพราะแซมกำลังมองหาความพิเศษบางอย่างที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร เอลวิสที่ขณะนั้นกำลังพักอยู่ได้หยิบกีตาร์ขึ้นมาและดีดมันเป็นจังหวะอย่างสนุกสนาน บิลหยิบเบสของตัวเองมาตบเล่นไปกับเขาด้วย สก็อตตี้ก็เล่นคลอไปกลุ่มนั้น สิ่งที่เอลวิสร้องวันนั้นเป็นดนตรีบลูส์คลาสสิค ณ ตอนนั้นเอลวิสอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำคืออะไร แค่ออกไปเล่นมัน และนั่นคือความพิเศษที่แซมตามหา
- หลังจากอัดเสียงเสร็จ ดีเจที่มีชื่อเสียงในย่านนั้นอย่าง ดิววีย์ ฟิลลิปส์ ได้นำเทปนี้ไปเปิด เขารู้ว่าเพลงของเอลวิสมันต่างจากคนอื่นมาก เมื่อคนได้ยินเพลงนั้นก็โทรหาที่สถานีเป็นจำนวนมาก ขณะนั้นเอลวิสที่กำลังดูหนังในโรงภาพยนตร์ก็ถูกลากตัวออกมาเพื่อบอกว่า “ ดิววีย์อยากคุยกับเขาในรายการวิทยุ “ เอลวิสที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ให้สัมภาษณ์อย่างตะกุกตะกักและตื่นเต้น แต่นาทีนั้นทุกคนในเมมฟิสรู้จัก “That’s all right (Mama)” จากความสำเร็จนี้ทำให้แซมค้นพบสิ่งที่ตามหามานาน การอัดเพลงบลูส์ของคนดำที่ดิบถึงใจและเกรี้ยวกราด อีกด้านของแผ่นก็มีเพลงบลูกราสคลาสสิคอย่าง “ Blue moon of Kentucky ” ไม่ต้องมีสีผิวใดใด มีแค่ดนตรีที่ชอบเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ทำใน Blue moon of Kentucky มันกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ ร็อคแอนด์โรล “ ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นโลกก็รู้จักศิลปินที่ชื่อ “เอลวิส เพรสลีย์”
สรุป
แล้วก็จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับบทความ Elvis Presley ราชาร็อคแอนด์โรลผู้ล่วงลับ ที่กว่าจะมีวันนี้ได้นั้นไม่ใช่เพียงแค่โชคชะตา เรื่องนี้ หวังว่าจะถูกอกถูกใจเพื่อน ๆ ทุกคนกันนะครับ ส่วนในครั้งหน้าจะเป็นเรื่องราวของใครนั้น โปรดติดตามรับชมกันด้วยนะครับ
ช็อปเปอร์ 10/03/2566