สวัสดีครับเพื่อน ๆ ในวันนี้เราก็จะพาทุกคนมาพบกับ บทความ เปิดประวัติ Steven Gerrard สุดยอดกัปตันทีมตลอดกาลของแฟนบอล Liverpool ที่เป็นต้นแบบของใครหลาย ๆ คน เรื่องนี้กัน ที่ตลอด 18 ปี ในอาชีพการเป็นนักฟุตบอลของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่เพียงแค่สร้างความสุขให้กับแฟนฟุตบอลทั่วโลก แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายให้กับนักฟุตบอลรุ่นหลัง เขาเป็นที่เคารพและยอมรับในความสามารถจากเพื่อนร่วมอาชีพนับไม่ถ้วน ตำนานนักเตะหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนอดีตเพื่อนร่วมทีมของเจอร์ราร์ด ต่างออกมาทวีตข้อความสดุดีตำนานนักเตะหมายเลข 8 ผู้นี้กันอย่างพร้อมเพียง ซึ่งนั่นเพียงพอแล้วที่จะเป็นหลักฐานยืนยันคำกล่าวข้างต้นว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด
คืออะไร
- ชื่อเต็ม : สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด
- เกิด : 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ ประเทศอังกฤษ
- อายุ : 41 ปี
- สัญชาติ : อังกฤษ
- ส่วนสูง : 183 เซนติเมตร
- ตำแหน่ง : กองกลาง
- สตีเว่น เจอร์ราร์ด เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลด้วยการเข้าสู่อคาเดมีของลิเวอร์พูลตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ก่อนจะพัฒนาฝีเท้าขึ้นตามลำดับจนได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี โดยลงสนามมาเป็นตัวสำรองช่วงท้ายเกมแทน เวการ์ด เฮกเก้ม ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่พบกับ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 1998 ในยุคของกุนซือ เชราร์ อุลลิเยร์
เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ Steven Gerrard
- ในฤดูกาลแรกกับลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ด ได้ลงเล่น 13 นัดในทุกรายการ ซึ่งถือว่าไม่เลวเลย เมื่อเทียบกับการเป็นดาวรุ่งที่เพิ่งขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่เป็นปีแรก ซึ่งหลังจากนั้น เจอร์ราร์ด ก็ได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม พร้อมกับทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในฤดูกาล 2000-2001 ซึ่ง เจอร์ราร์ด มีส่วนช่วยพาทีมหงส์แดงคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ฟุตบอลถ้วย ได้แก่ เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และยูฟ่า คัพ ทำให้ซีซั่นนั้น เจอร์ราร์ด ผงาดคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) และมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในปีดังกล่าวด้วย
สุดยอดตำนานกัปตันทีมที่ชื่อว่า Steven Gerrard
- หลังจากนั้น เจอร์ราร์ด ได้รับความไว้วางใจให้เป็น “กัปตันทีม” แทนที่ ซามี่ ฮูเปีย ในเดือนต.ค. 2003 และกลายเป็นผู้เล่นหัวใจสำคัญในถิ่นแอนฟิลด์มาโดยตลอด รวมทั้งเป็นตัวหลักของทีมชาติอังกฤษด้วย แต่อย่างที่ทราบกันดีคือ เจอร์ราร์ด พาทีมหงส์แดงกวาดแชมป์ต่างๆ มากมายในระดับสโมสร ยกเว้นโทรฟี่เดียวที่เขาไม่เคยได้สัมผัส นั่นคือ “แชมป์พรีเมียร์ลีก” ทั้งนี้ โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดของ เจอร์ราร์ด คือฤดูกาล 2013-2014 ซึ่ง ลิเวอร์พูล ครองจ่าฝูงในขณะที่เหลือโปรแกรมอีกแค่ 3 นัดสุดท้ายเท่านั้น แต่หายนะของทีมหงส์แดงก็มาเกิดขึ้นในเกมที่พลาดท่าพ่ายคาบ้านต่อ เชลซี 0-2 พร้อมกับ “ช็อตลื่นบันลือโลก” ของเจอร์ราร์ด ก่อนที่ทีมหงส์แดงจะออกอาการเป๋ และโดน แมนฯ ซิตี้ ปาดหน้าแซงคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บใจ ซึ่งในเวลาต่อมา เจอร์ราร์ด ระบุว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตค้าแข้งของเขาเลยทีเดียว กระทั่งปี 2015 เจอร์ราร์ดหมดสัญญากับลิเวอร์พูล และไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสัญญาฉบับใหม่ได้ ทำให้ “สตีวี่จี” โบกมือลาถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยสถิติลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูลทั้งสิ้น 17 ฤดูกาล ลงสนามไป 710 นัด ยิงได้ 186 ประตูในทุกรายการ จากนั้น เจอร์ราร์ด เซ็นสัญญาย้ายไปยัง แอลเอ กาแลคซี่ สโมสรดังแห่งศึกเมเจอร์ลีก สหรัฐ ซึ่ง “พี่เจิด” โชว์ฝีเท้าในลีกลูกหนังเมืองลุงแซมอยู่ 2 ฤดูกาล ลงสนาม 38 นัดยิงได้ 5 ประตู ก่อนจะตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ด เมื่อเดือพ.ย. 2016 ด้วยวัย 36 ปี
เส้นทางการเป็นผู้จัดการทีมของ Steven Gerrard
- หลังจากแขวนสตั๊ด เจอร์ราร์ด กลับมายัง ลิเวอร์พูล อีกครั้ง ในฐานะเฮดโค้ชทีมเยาวชนหงส์แดง ชุดยู-18 เมื่อช่วงต้นปี 2017 ซึ่งลูกทีมของเจอร์ราร์ดชุดนั้นที่ได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในเวลาต่อมา ได้แก่ รีส วิลเลียมส์, เนโก วิลเลียมส์ และ เคอร์ติส โจนส์ ต่อมา เจอร์ราร์ด ได้รับงานใหญ่ขึ้นด้วยการเป็นกุนซือทีมชุดยู-19 ลุยศึก ยูฟ่า ยูธ ลีก ฤดูกาล 2017-2018 ซึ่ง เจอร์ราร์ด สามารถพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะไปพ่ายจุดโทษให้กับ แมนฯ ซิตี้ 2-3 อย่างน่าเสียดาย กระทั่งเดือนเม.ย. 2018 เจอร์ราร์ด รับงานกุนซือใหญ่อย่างเต็มตัวครั้งแรก หลังจากเซ็นสัญญาคุม เรนเจอร์ส ทีมดังของลีกสกอตแลนด์ ซึ่งในช่วง 2 ซีซั่นแรก เจอร์ราร์ด พาทีมจบด้วยการเป็น “รองแชมป์” ทั้งสองฤดูกาล จนมาถึงฤดูกาล 2020-21 เรนเจอร์สภายใต้การนำทัพของเจอร์ราร์ดก็มาถึงจุดพีค เมื่อทัพ “เดอะ ไลท์บลูส์” ระเบิดฟอร์มผงาดคว้าแชมป์ลีกสกอตแลนด์อย่างยิ่งใหญ่ แถมเป็นแชมป์แบบ “ไร้พ่าย” ไม่แพ้ใครตลอดทั้งฤดูกาล นอกจากนี้ยังเป็นการทวงบัลลังก์แชมป์ลีกกลับสู่ถิ่นไอบร็อกซ์ ปาร์ก เป็นสมัยแรกในรอบ 10 ปีของเรนเจอร์สอีกด้วย
- ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมดังกล่าว ทำให้ชื่อของ เจอร์ราร์ด ถูกนำมาโยงกับสโมสรในอังกฤษมาตลอด จนในที่สุด เฮดโค้ชวัย 41 ปีรายนี้ก็ได้กลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจาก “สิงห์ผยอง” แอสตัน วิลลา จ่ายเงินชดเชยเป็นค่าฉีกสัญญาให้กับเรนเจอร์ส 3 ล้านปอนด์ และดึงตัว เจอร์ราร์ด มานั่งแท่นกุนซือคนใหม่ในถิ่นวิลล่า ปาร์ก เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา
เกียรติประวัติของ Steven Gerrard
ลิเวอร์พูล
- แชมป์เอฟเอ คัพ : 2000–01, 2005–06
- แชมป์ลีกคัพ : 2000–01, 2002–03, 2011–12
- แชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ : 2006
- แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก : 2004–05
- แชมป์ยูฟ่า คัพ : 2000–01
- แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ : 2001
- อันดับ 3 บัลลงดอร์ : 2005
- ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ : 2000-01
- นักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ : 2005-06
- นักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ : 2008-09
- นักเตะทีมชาติอังกฤษยอดเยี่ยม : 2007, 2012
- นักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรลิเวอร์พูล : 2004, 2006, 2007, 2009
- ติดทีมยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ 8 สมัย
- ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ FIFA FIFPro : 2007, 2008, 2009
- ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2005, 2006, 2007
- เข้าทำเนียบฮอล ออฟ เฟรม พรีเมียร์ลีก
เรนเจอร์ส
- แชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ : 2020-21
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมสกอตติช พรีเมียร์ชิพ : 2020-21
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพสกอตแลนด์ : 2020-21
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้สื่อฟุตบอลสกอตแลนด์ : 2020-21
สรุป
แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฏิเสธความสุดยอดของเขาในสมัยเป็นนักเตะ ส่วนในบทบาทกุนซือ เจอร์ราร์ด ก็พิสูจน์ตัวเองมาในระดับหนึ่งกับเรนเจอร์ส และหลังจากนี้ “สตีวีจี” จะได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่เข้มข้นขึ้นบนสังเวียนพรีเมียร์ลีก ส่วนผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องติดตามกันต่อไป และสำหรับบทความ เปิดประวัติ Steven Gerrard สุดยอดกัปตันทีมตลอดกาลของแฟนบอล Liverpool ที่เป็นต้นแบบของใครหลาย ๆ คน เรื่องนี้ ก็จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในครั้งหน้าเราจะพาคุณไปรับชมกับเรื่องราวของใครอีก โปรดติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ